ภาวะน้ำคร่ำมาก (Hydramnios)
- โดย รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ประนอม บุพศิริ
- 28 พฤษภาคม 2563
- Tweet
- ภาวะน้ำคร่ำมากหมายถึงอะไร?
- สาเหตุที่ทำให้มีน้ำคร่ำมากคืออะไร?
- ภาวะน้ำคร่ำมากมีผลต่อมารดาและทารกอย่างไร?
- สังเกตได้อย่างไรว่ามีภาวะน้ำคร่ำมาก?
- แพทย์วินิจฉัยภาวะน้ำคร่ำมากได้อย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อมีน้ำคร่ำมาก?
- รักษาภาวะน้ำคร่ำมากอย่างไร?
- หลังคลอดดูแลตนเองอย่างไร?
- ควรตั้งครรภ์ครั้งต่อไปเมื่อใด?
- หากครรภ์แรกมีภาวะน้ำคร่ำมาก ครรภ์ต่อไปจะเกิดอีกไหม?
- ทารกที่เกิดจากภาวะน้ำคร่ำมากมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
- ภาวะน้ำคร่ำมากสามารถป้องกันได้ไม่?
- บรรณานุกรม
- การตั้งครรภ์ (Pregnancy)
- ภาวะน้ำคร่ำน้อย (Oligohydramnios)
- ครรภ์แฝด (Multiple pregnancy)
- คลอดก่อนกำหนด (Preterm labor)
- ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด (Placental abruption or Abruptio placentae)
- เบาหวาน (Diabetes mellitus)
- อัลตราซาวด์ (Ultrasonogram)
- การผ่าท้องคลอดบุตร การผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้อง (Caesarean section)
- ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเจ็บครรภ์คลอด (Premature rupture of membranes)
- ตกเลือดหลังคลอด (Postpartum hemorrhage)
ภาวะน้ำคร่ำมากหมายถึงอะไร?
ภาวะน้ำคร่ำมาก (Hydramnios หรือ Polyhydramnios) หมายถึง การที่มีปริมาณน้ำคร่ำมากกว่าปกติ หากตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (อัลตราซาวด์) แล้ววัดค่า Amniotic fluid in dex: AFI (ค่าการคำนวณความลึกของถุงน้ำคร่ำ ที่ได้จากการตรวจถุงน้ำคร่ำ 4 ตำแหน่งด้วย อัลตราซาวด์ โดยค่าที่ปกติคือ AFI ประมาณ 5-25 ซม./เซนติเมตร) ได้มากกว่า 25 ซม หรือวัดระดับน้ำคร่ำตำแหน่งเดียวได้ค่าที่ลึกที่สุด (Single deepest pocket) เกิน 8 ซม. ทั้งนี้ปริ มาณน้ำคร่ำในการตั้งครรภ์ปกติ เมื่อใกล้คลอดจะมีปริมาณประมาณ 500-1,000 มล.(มิลลิลิตร) การที่มีปริมาณน้ำคร่ำมาก อาจเกิดจาก
- มีการสร้างมากกว่าปกติ
- หรือจากการถ่ายเท/การกำจัดออกของน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ
- หรือจากไม่มีความสมดุลระหว่างการสร้างและการกำจัดออกของน้ำคร่ำ
สาเหตุที่ทำให้มีน้ำคร่ำมากคืออะไร?
สาเหตุของภาวะน้ำคร่ำมากกว่าปกติ ได้แก่
- ทารกในครรภ์มีความพิการ เช่น มีการตีบของหลอดอาหาร หรือมีลำไส้อุดตัน ทำให้ไม่สามารถกลืนน้ำคร่ำได้ นอกจากนั้น มักพบในทารกที่ไม่มีกะโหลกศีรษะ และ/หรือ ทารกที่กระดูกสันหลังไม่ปิด
- ทารกที่มีโครโมโซมผิดปกติ
- ครรภ์แฝด ที่มีการเชื่อมต่อกันของเส้นเลือด (Twin-twin transfusion syndrome) โดยทารกที่ได้รับเลือดมาก จะมีการปัสสาวะมาก จึงทำให้ปริมาณน้ำคร่ำมากขึ้น
- โรคของมารดา ได้แก่ โรคเบาหวาน
- การติดเชื้อของทารกในครรภ์
- ไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งพบได้มากถึง 50 %
ภาวะน้ำคร่ำมากมีผลต่อมารดาและทารกอย่างไร?
ความรุนแรงของภาวะน้ำคร่ำมากแบ่งออกได้เป็น
- ภาวะน้ำคร่ำมากแบบเล็กน้อย
- ภาวะน้ำคร่ำมากปานกลาง
- ภาวะน้ำคร่ำมากอย่างรุนแรง
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อมารดาและทารกแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของปริมาณผิดปกติของน้ำคร่ำ
ก. ผลต่อมารดา: ที่พบได้ คือ
- ทำให้เกิดความอึดอัด ไม่สบายท้อง หายใจไม่สะดวก
- ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด เนื่องจากมีการขยายตัวของมดลูกมากเกินไป
- รกลอกตัวก่อนทารกคลอด (รกลอกตัวก่อนกำหนด) เนื่องจากเมื่อมีการแตกของถุงน้ำ คร่ำ ทำให้ขนาดมดลูกหดรัดตัวลงอย่างรวดเร็ว
- เจ็บครรภ์ก่อนกำหนด (การคลอดก่อนกำหนด) เนื่องจากมีการขยายตัวของมดลูกมากเกินไป
- ทารกอยู่ท่าผิดปกติและไม่คงที่ เนื่องจากมีปริมาณน้ำคร่ำมาก ทารกจึงหมุนเปลี่ยนท่าไปมาได้ง่าย
- มีโอกาสได้รับการทำสูติศาสตร์หัตถการ เช่น การผ่าท้องคลอดฉุกเฉิน เพื่อช่วยชีวิตทา รกในครรภ์
- ตกเลือดหลังคลอด เนื่องจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดี
ข. ผลต่อทารก: ที่พบได้ คือ
- ทารกคลอดก่อนกำหนด
- มีโอกาสได้รับการทำสูติศาสตร์หัตถการ เช่น การผ่าท้องคลอดฉุกเฉิน หรือทำคลอดท่าก้น
สังเกตได้อย่างไรว่ามีภาวะน้ำคร่ำมาก?
ในกรณีที่ปริมาณน้ำคร่ำเพิ่มเล็กน้อยไม่มาก สตรีตั้งครรภ์มักไม่สามารถสังเกตได้ถึงความผิดปกติ ยกเว้นหากมีปริมาณน้ำคร่ำมากอาจสังเกตได้ว่า ครรภ์โตเร็วผิดปกติ มีอาการอึดอัดแน่นท้อง ในรายที่มีปริมาณน้ำคร่ำมากๆ ทำให้หายใจลำบากเนื่องจากกระบังลมถูกดันขึ้นมาดันปอดมาก
แพทย์วินิจฉัยภาวะน้ำคร่ำมากได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยภาวะน้ำคร่ำมาก ได้จาก
- ประวัติอาการและการตั้งครรภ์: แพทย์จะสอบถามประวัติเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น การติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์, โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน
- การตรวจร่างกาย: ตรวจร่างกายสตรีเหล่านี้ จะพบมีมดลูกขนาดใหญ่กว่าอายุครรภ์ แพทย์อาจคลำได้ทารกหรือรูปร่างทารกไม่ชัดเจน ในอายุครรภ์ที่ควรจะตรวจได้ชัดเจน หรือ อาจฟังเสียงการเต้นของหัวใจทารกได้เบากว่ากว่าปกติ
- การตรวจครรภ์ด้วยอัลตราซาวด์ เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ใช้ในการวินิจฉัยภาวะนี้ จะมีการวัดความลึกของแอ่งน้ำคร่ำต่างๆ ทั้ง แบบวัด 4 แอ่ง (Amniotic fluid index: AFI) หรือวัดระดับน้ำคร่ำในแอ่งที่ลึกที่สุดตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น นอกจากนี้การตรวจอัลตราซาวด์ยังใช้วินิจฉัยความผิดปกติ หรือความพิการของทารก และวินิจฉัยว่าเป็นครรภ์แฝดหรือไม่
- การตรวจเลือดมารดา เพื่อวินิจฉัยภาวะเบาหวาน และ/หรือการติดเชื้อของทารกในครรภ์
ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อมีน้ำคร่ำมาก?
การดูแลตนเองเมื่อมีภาวะน้ำคร่ำมาก ได้แก่
- พักผ่อนให้มาก งดทำงานหนัก
- ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ที่ฝากครรภ์ไว้สม่ำเสมอ
- หากเป็นเบาหวานต้องรักษาควบคุมระดับน้ำตาลตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
รักษาภาวะน้ำคร่ำมากอย่างไร?
ในกรณีที่ปริมาณน้ำคร่ำไม่มาก และตรวจไม่พบความผิดปกติของทารก การรักษามักเป็นแบบรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น ให้พักผ่อนให้มาก ให้ควบคุมน้ำหนัก ควบคุมอาหาร หากมีปริมาณน้ำคร่ำมากจนมีผลต่อการหายใจของมารดา สามารถให้การรักษาได้ดังนี้
- ให้ยาลดการสร้างน้ำคร่ำ เช่น ยากลุ่ม Indomethacin
- ให้ยาป้องกันการคลอดก่อนกำหนด
- รักษา ควบคุม โรคเบาหวาน
- การดูดน้ำคร่ำออกเพื่อลดปริมาณน้ำคร่ำ ซึ่งจะช่วยให้มารดาสามารถหายใจได้สะดวกขึ้น
- ในกรณีที่สงสัยทารกมีความผิดปกติ อาจต้องมีการเจาะน้ำคร่ำ เพื่อตรวจโครโมโซมของทารกด้วย เพื่อช่วยเป็นแนวทางการรักษา
หลังคลอดดูแลตนเองอย่างไร?
การดูแลตนเองหลังคลอด ได้แก่
- หากมีภาวะน้ำคร่ำมากในขั้นไม่รุนแรง มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนหลังคลอด/ระยะหลังคลอด (เช่น การตกเลือดหลังคลอด)
- แต่หากมีภาวะน้ำคร่ำมากระดับที่รุนแรง โอกาสเกิดภาวะ แทรกซ้อนหลังคลอดอาจสูงขึ้น ซึ่งต้องเฝ้าระวังเป็นอย่างดี และรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัดเสมอ ถ้าพบมีอาการผิดปกติ
- อย่างไรก็ตาม การดูแลหลังคลอดเหมือนสตรีหลังคลอดทั่วไป คือ
- หากคลอดทางช่องคลอด การดูแลตนเอง คือ
- การดูแลแผลฝีเย็บ
- การสังเกตว่าน้ำคาวปลาปกติหรือไม่
- สังเกตการหดรัดตัวของมดลูก (ดูการตกเลือดหลังคลอด)
- ส่วนหากได้รับการผ่าตัดคลอด การดูแลตนเองก็ต้อง
- ดูแลแผลผ่าตัด
- สังเกตอาการติดเชื้อต่างๆ เช่น มีไข้ ปัสสาวะแสบ ขัด
- หากคลอดทางช่องคลอด การดูแลตนเอง คือ
อนึ่ง: สำหรับทารกซึ่งส่วนใหญ่จะปกติ ก็มีการดูแลทารกหลังคลอดตามปกติ แต่หากทารกมีความผิดปกติ ก็จะมีการดูแลเป็นพิเศษเฉพาะรายไปตามแต่ความผิดปกติของทารกแต่ละราย เช่น ปอดติดเชื้อ เป็นต้น
ควรตั้งครรภ์ครั้งต่อไปเมื่อใด?
การตั้งครรภ์ครั้งต่อไป:
- หากทารกครรภ์แรกไม่มีความผิดปกติ การตั้งครรภ์ครั้งต่อไปเหมือนสตรีทั่วไป แต่เพื่อให้มารดาได้เลี้ยงดูบุตรเต็มที่ ควรเว้นระยะห่างไปประมาณ 2-3 ปี
- แต่ถ้าทารกคนแรกมีความผิดปกติทางโครโมโซม ควรต้องปรึกษากับสูติแพทย์ถึงความเสี่ยงในครรภ์ต่อไป
- หรือหากมารดาเป็นเบาหวาน ก็ควรต้องควบคุมระดับน้ำตาลหรือรักษาให้ดีก่อนที่จะตั้งครรภ์ครั้งต่อไป
หากครรภ์แรกมีภาวะน้ำคร่ำมาก ครรภ์ต่อไปจะเกิดอีกไหม?
ครรภ์ต่อไป อาจมีโอกาสเกิดภาวะน้ำคร่ำมากเป็นซ้ำได้ โดยมีรายงานพบได้ประมาณ 1 ต่อการตั้งครรภ์ทั้งหมด 1,720 การตั้งครรภ์ ทั้งนี้ขึ้นกับว่า สามารถควบคุมปัจจัยเสี่ยงได้หรือไม่
ทารกที่เกิดจากภาวะน้ำคร่ำมากมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
การพยากรณ์โรคหรือพัฒนาการหลังคลอดของทารกขึ้นกับสาเหตุที่ทำให้น้ำคร่ำมากผิด ปกติ หากปริมาณน้ำคร่ำเพิ่มแบบไม่รุนแรงส่วนใหญ่ ทารกมักปกติ ยกเว้นทารกที่มีความพิการแต่กำเนิด
ภาวะน้ำคร่ำมากสามารถป้องกันได้ไม่?
โดยทั่วไป สาเหตุที่ทำให้มีน้ำคร่ำมากมักไม่พบชัดเจน ดังนั้นส่วนใหญ่จึงไม่สามารถป้อง กันภาวะนี้ได้
แต่หากมีปัจจัยเสี่ยงชัดเจนของการเกิดภาวะน้ำคร่ำมาก เช่น มารดาเป็นเบาหวาน การรักษา ควบคุมปัจจัยเสี่ยง ก็จะสามารถป้องกันภาวะน้ำคร่ำมากได้
บรรณานุกรม
- http://www.uptodate.com/contents/polyhydramnios [2020,May23]
- http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/8498934 [2020,May23]